::One Moment In Time::
Wednesday, September 12, 2007
Thursday, August 16, 2007
Wednesday, July 25, 2007
Sunday, April 02, 2006
..Winner or Loser..
10 ข้อแตกต่างระหว่าง ผู้ชนะ กับ ผู้แพ้10 ข้อแตกต่างระหว่าง ผู้ชนะ กับ ผู้แพ้
10 Differences between Winner & Loser
1) When a winner commits a mistake, he say I'm wrong (Habit 1 : Be proactive)
ผู้ชนะ : เมื่อพบว่ามีข้อผิดพลาด จะพูดว่า ฉันทำผิดเอง
When a loser commits a mistake, he says it's not my fault
ผู้แพ้ : เมื่อพบข้อผิดพลาด จะพูดว่า ไม่ใช่ความผิดของฉัน
2) A winner works harder and has more time than a loser (Habit 2 : Begin with the end in mind) ผู้ชนะ : จะทำงานหนักกว่าปกติ และมีเวลามากกว่าผู้แพ้
A loser always is too busy to do what is necessary (Habit 3 : Put first thing first)
ผู้แพ้ : จะทำงานแบบยุ่งทั้งวัน โดยที่ไม่คิดว่างานไหน ควรทำก่อนทำหลัง
3) A winner faces and solves his/her problems (Habit 1 : Be proactive)
ผู้ชนะ : จะเผชิญหน้ากับปัญหาและลงมือแก้ไขปัญหานั้น
A loser does otherwise ผู้แพ้ : จะทำในทางตรงข้าม หลีกเลี่ยงปัญหา
4) A winner makes things happen (Habit 1 : Be proactive)
ผู้ชนะ : จะลงมือทำงานให้ปรากฎผลงานขึ้น
A loser makes promises
ผู้แพ้ : จะให้แต่คำสัญญา คือมีแต่ลมปาก แต่ไม่ลงมือ
5) A winner wld say " I am good but not as good as I want to be " (Habit 1: Be proactive)
ผู้ชนะ : จะพูดว่า " ฉันทำได้ดี แต่ยังไม่ดีเท่ากับที่ฉันต้องการ "
A loser wld say " I am not as bad as others "
ผู้แพ้ : จะพูดว่า “"ยังมีคนอื่นอีกหลายคนที่มีผลงานแย่กว่าตัวเขา "
6) A winner listens, understand and responds (Habit 5 : Seek first to understand then be understood)
ผู้ชนะ : จะตั้งใจฟัง แล้วทำความเข้าใจ และ สามารถตอบสนองได้
A loser only waits until it's his/her turn to speak
ผู้แพ้ : จะรออย่างเดียว โดยไม่ฟัง ไม่ทำความเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด รอจนกว่าจะถึงคิวที่จะได้พูดเรื่องของตัวเอง
7) A winner respects people who are superior to him and wld like to learn from them (Habit 1 : Be proactive)'
ผู้ชนะ : จะยอมรับ นับถือคนที่มีความสามารถเหนือกว่าและจะเรียนรู้จากคนเหล่านั้น
A loser does otherwise, and wld try to find his superior's faults
ผู้แพ้ : จะทำในทางตรงข้าม และจะพยามายามหาข้อผิดพลาดของคนที่เหนือกว่าเขา
8) A winner is responsible not just for his own work (Haibt 4 : Think win-win and Habit 6 : Synergize)
ผู้ชนะ : จะมีความรับผิดชอบ ไม่เพียงแต่งานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น จะช่วยคิดให้องค์กรประสบความสำเร็จ ( ไม่ใช่ไปก้าวก่ายงานคนอื่นนะ )
A loser will not dare help others and wld say I'm just doing my job
ผู้แพ้ : จะไม่กล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่น และ มักจะพูดว่า ฉันไม่ว่าง กำลังทำงานของฉันอยู่
9) A winner wld say " There shd be a better way to do it " (Habit 1 : Be proactive and Habit 2 : Begin with the end in mind)
ผู้ชนะ : ต้องมีวิธีที่จะทำให้ดีขึ้นได้เสมอ
A loser wld say " This is the only way to do "
ผู้แพ้ : จะพูดว่า "นี่คือหนทางเดียวที่ทำได้ "
10) A winner like you will share this with his/her friends (Habit 4 & 6)
ผู้ชนะ : จะแบ่งปันบทความนี้ไปยังเพื่อนๆของเขา
A loser will just keep this to himself/herself because he/she doesn't hv time to share this with others.
ผู้แพ้ : จะเก็บบทความนี้เอาไว้ เพราะว่าเขาไม่มีเวลาที่จะแบ่งปันไปให้คนอื่น
สำหรับคุณ อยากเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ สุดแต่ใจคุณ !!!
Monday, March 27, 2006
Sunday, March 26, 2006
Thursday, March 16, 2006
..สุขภาพ กับ โภชนาการ..
“ทุกคนขุดหลุมศพตัวเองด้วยปากและฟันทุกๆ วัน”จากประสบการณ์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง ได้ตั้งข้อสังเกตว่าวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่แพทย์ส่วนใหญ่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะโดยการผ่าตัด หรือการทำเคมีบำบัดนั้น ไม่ใช่วิธีรักษาที่ถูกต้อง เพราะวิธีการดังกล่าวไม่ได้ทำให้คนไข้หายจากโรค ในทางกลับกัน คนไข้มะเร็งยังคงตายไปเรื่อยๆ ในขณะที่จำนวนคนไข้ใหม่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
วิธีรักษาโรคที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง หรือโรคอื่นๆ ทุกโรค คือ “โภชนาบำบัด” เนื่องจาก ร่างกายทุกส่วนของมนุษย์ถูกสร้างจากสารอาหารที่เรารับประทานเป็นอาหาร ฉะนั้นร่างกายแต่ละส่วนจะทำงานสมบูรณ์แข็งแรงและ สามารถต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ได้ จะต้องได้รับสารอาหารอย่างถูกต้อง เช่น ข้อต่างๆ ของมนุษย์ถูกสร้างจาก โปรตีนและซัลเฟอร์ ฉะนั้นการแก้ปัญหาปวดข้อต่างๆ ในทางโภชนบำบัดจะแนะนำให้ ทานขิงวันละหนึ่งช้อนโต๊ะ ทานขมิ้นแคปซูล 2 เม็ดหลังอาหารทุกมื้อ มะนาวหนึ่งลูกผสมน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ดื่มหลังมื้ออาหารทุกมื้อ เพราะอาหารเหล่านี้มีซัลเฟอร์อยู่มาก และจะต้องงดของหวานเพราะของหวานจะทำให้เลือดเหนียว ไม่สามารถนำสารอาหารไปซ่อมแซมอวัยวะได้ดี
“You are what you eat” ความสมบูรณ์หรือความผิดปกติในร่างกายล้วนสัมพันธ์กับสิ่งที่คนๆนั้นรับประทาน เช่น การดื่มกาแฟเข้ม ในตอนเช้า จะทำให้เกิดอาการหิวจนมือสั่น ในเวลาประมาณ 11.00 น. ต่อมาประมาณบ่าย 14.00 น. จะรู้สึกง่วง งง มึน สมองตื้อ ปวดเมื่อย หงุดหงิด นั่งไม่ติด หรือหากรับประทานของหวานในตอนเที่ยง หลังจากนั้น 2-3 ชม.จะก็เกิดอาการเช่นเดียวกัน อีกตัวอย่างหนึ่งคือถ้ารับประทานของหวานมากๆ หรือของมันมากๆ หลังจากนั้น 48 ชม. จะมีสิวขึ้นรอบปากในรัศมี 2 นิ้ว ร่างกายเราจะแปรปรวนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทาน ภายใน 1 ชม. - 2 วันก่อนหน้านั้น
โรคที่เกิดจากการรับประทานผิด
ไขมันในเส้นเลือดสูง ความดัน หัวใจ อัมพาต สมองเสื่อม ข้อเสื่อม ข้ออักเสบ ติดเชื้อง่าย ภูมิแพ้ มะเร็ง โรคเล่านี้ปัจจุบันยอมรับกันแล้วว่าเป็นโรคที่เกิดจากการบริโภคอย่างเดียว อาหารอันตราย 4 ชนิด
1. นมวัว
2. ของหวาน (ขนมหวาน น้ำอัดลม ผลไม้หวาน และน้ำผลไม้)
3. เนยเทียม (ขนมปัง เค้ก คุ้กกี้ ฯลฯ)
4. น้ำมันที่ทอดซ้ำๆ (ปาท่องโก๋ กล้วยแขก ไก่ทอด หมูทอด มันฝรั่งทอด) น้ำมันไม่ควรใช้ทอดรับประทานเกิน 2 ครั้ง
ด้านมืดของนมวัว
ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ มาเลเซีย สิงคโปร์ รณรงค์ให้คนเลิกดื่มนมอย่างจริงจัง การวิจัยพบว่านมทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคเบาหวาน กระดูกผุ สมาธิสั้น เด็กปวดท้อง เด็กหูอักเสบ หอบหืด ฉี่รดที่นอน เลือดกำเดา ปวดหัว ไซนัสอักเสบ ฯลฯ นม ทำให้ร่างกายสูงใหญ่จริง แต่ไม่ได้เป็นเพราะ แคลเซียม สิ่งที่ทำให้ร่างกายสูงใหญ่คือ Growth Hormone ของสัตว์หรือฮอร์โมน ที่เกิดจากการกระตุ้นการเจริญเติบโตของวัว คนจะมี น้ำหนักเพิ่ม 3 กิโลกรัมโดยเฉลี่ย ในเวลา 3 เดือนหลังคลอด แต่ลูกวัวนั้น น้ำหนักจะเพิ่ม 30 กิโลกรัม ในเวลาเท่ากัน เพราะฉะนั้นสรีระโครงสร้างทั้งหมด และความต้องการอาหารนั้นไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง วัวเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักรวม 500 กิโลกรัมขึ้นไป ในขณะที่คนจะมีน้ำหนักประมาณ 50-60 กิโลกรัม
การให้เด็กดื่มนมวัว ก็คือการให้สารอาหารที่มีไว้กระตุ้นสัตว์ที่มีการเจริญเติบโตมากมายแกเด็ก ผลคือเด็กมีโครงสร้างที่ผิดปกติไปจากที่เด็กควรจะเป็น และโดยปกติแล้ว ลูกวัวรับประทานนมแค่ 1 ปี แต่ลูกคนรับประทานนมวัวต่อเนื่องเป็นสิบปี ฉะนั้น Growth Hormone จะกระตุ้นการเจริญเติบโตของเด็กอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างกายสูงใหญ่ผิดไปจากเผ่าพันธุ์เดิมของตน และในที่สุด โรคต่าง ที่กล่าวข้างต้นก็จะเกิดขึ้น แต่อันตรายนี้จะเห็นได้ช้า ฉะนั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ตระหนักและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี
อันตรายจากนมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ออทิสติก หรือโรคสมาธิสั้น เด็กจะไม่อยู่เฉย เพราะถูกกระตุ้นในตื่นตัวเสมอจากสารกระตุ้นที่มีอยู่ในนมวัว เพราะลูกวัวนั้นโดยธรรมชาติแล้ว คลอดออกมามันจะต้องวิ่งได้ เพื่อที่จะวิ่งหนีศัตรู เช่น หมาป่า เสือ สิงโต ฉะนั้นในนมวัว จึงมีสารที่จะทำให้ลูกวัวตื่นตัวตลอดเวลา เด็กที่ดื่มนมวัวจึงมีอาการตื่นตัว อยู่เฉยไม่ได้ เหมือนอยู่ในป่า การถูกกระตุ้นเกินกว่าเหตุ เป็นอันตรายต่อสมอง และพัฒนาการของเด็กและผู้ใหญ่
ประโยชน์ที่คนส่วนใหญ่คาดว่าจะได้จากนมวัว คือโปรตีนและแคลเซียม ความจริงที่ควรทราบก็คือโปรตีนจากสัตว์เป็นอันตรายต่อร่างกายมาก และแคลเซียมในนมก็ไม่ได้มีมากอย่างที่หลายคนเชื่อ นมวัว 3 แก้วให้ปริมาณแคลเซียม เท่ากับหัวปลาทูเพียง 1 หัวเท่านั้น นมวัวมีไว้ให้วัวกิน นมคนมีไว้ให้คนกิน คนเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่กินนมข้ามสายพันธุ์ และกินอย่างต่อเนื่อง จึงก่อให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย ปัจจุบันพบว่าสาเหตุของโรคภูมิแพ้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่คือนมวัว สาเหตุของโรคกระดูกผุ เวียนศีรษะในผู้สูงอายุ คือนมวัว แพทย์พบว่าคนไข้ที่มีอาการดังกล่าว ถ้ามีประวัติดื่มนมอย่างต่อเนื่อง หลังจากให้หยุดดื่มนมแล้ว อาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับผู้หญิงนั้น นมถั่วเหลือง เหมาะที่สุด เพราะในนมถั่วเหลืองนอกจากจะได้ โปรตีนจากพืชซึ่งเป็นโปรตีนที่ถูกต้องแล้ว ในนมถั่วเหลืองก็มีแคลเซียม และที่สำคัญมีฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิง จะทำให้ผู้หญิงมีผิวพรรณดี โดยเฉพาะผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือน ซึ่งปริมาณ
เอสโตรเจนในร่างกายจะลดลงนั้น การดื่มนมถั่วเหลืองจะช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้โอกาสที่จะเกิดอาการผิดปกติต่างๆ ในวัยใกล้หมดประจำเดือนลดน้อยลง ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการดื่มนมถั่วเหลืองคือวันละหนึ่งแก้ว และหากจะให้ได้ประโยชน์สูงสุดควรดื่มในเวลาที่ท้องว่าง คือก่อนหรือหลังอาหาร 2-ชั่วโมง ควรดื่มในเวลาท้องว่าง เพราะในนมถั่วเหลือจะมีไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่แข็งแรงมาก ฉะนั้นถ้ากินพร้อมมื้ออาหารจะทำให้การย่อยและการดูดซึมสารอาหารในมื้อนั้นๆ ตกลง
อย่างไรก็ตามนมถั่วเหลืองอาจไม่เหมาะที่จะให้ผู้ชายดื่มทุกๆวัน เนื่องจะการเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงให้กับผู้ชายในปริมาณมากเกินไป จะส่งผลต่อการทำงานของฮอร์โมนเพศชายทำให้ผลิต สเปิร์มน้อยลงและมีลูกยาก
“ของหวาน” สาเหตุของความเสื่อมทั้งหลาย
คนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ป่วยเบาหวานเท่านั้น หมายถึงทุกคนที่ชอบรับประทานขนมหวาน ผลไม้หวาน น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ฯลฯ จะทำให้อวัยวะในร่างกายเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำให้แก่เร็ว ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง เบาหวาน กระดูกพรุน อ้วน เนื้องอก และมะเร็ง น้ำตาลจะทำให้อาการของโรคที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้นอีกด้วยไม่ว่าจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ตาม เช่น ถ้าดื่มนมจนเป็นภูมิแพ้ ภูมิแพ้จะรุนแรงเป็น 2 เท่าถ้าเรากินหวานด้วย เพราะ “เชื้อโรคทุกตัวใช้น้ำตาลเป็นอาหาร”
ปัญหาสุขภาพของคนไทยส่วนใหญ่ จะเกิดจากการทานหวานมากกว่าอย่างอื่น ยกเว้นเด็กปัจจุบันที่มีพฤติกรรมการรับประทานคล้ายคนอเมริกัน ก็จะมีสาเหตุจาก เนื้อ นม ไข่ ร่วมด้วยในการเจ็บป่วย
ในสหรัฐฯ ได้มีการบัญญัติโรคๆหนึ่ง มีชื่อว่า Syndrome X เป็นกลุ่มอาการอย่างหนึ่งที่ประกอบด้วย โรค 4 โรค คือ เบาหวาน ความดัน เส้นเลือดหัวใจตีบ อัมพาต 4 โรคนี้เกิดจาก “หวาน” อย่างเดียว อีกโรคหนึ่งที่พบมากในสหรัฐฯ เช่นกันก็คือ IBS หรือ โรคลำไส้ระคายเคืองเรื้อรัง อาการแสดงอออกหลายแบบคือ ท้องผูกตลอด ท้องเสียตลอด ท้องผูกสลับท้องเสีย ริดสีดวง ถ่ายเป็นเลือดบ่อยๆ โรคพวกนี้เกิดจากการกินหวานอย่างเดียว ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนอเมริกันดื่มน้ำผลไม้มากกว่าน้ำเปล่า และบริโภคชอคโกแล็ตในปริมาณที่มาก ในคนไข้กลุ่มนี้เมื่อให้หยุด น้ำผลไม้ ผลไม้หวาน และชอคโกแลต อาการของโรคก็จะหายไป ปัจจุบันในประเทศไทยพบคนไข้ที่มีอาการกลุ่มนี้เฉลี่ยสัปดาห์ 10 คน ต่อแพทย์ 1 คน
คนไข้เบาหวานคนหนึ่ง มีพฤติกรรมการกินที่ถูกต้องทุกอย่าง เว้นแต่เขารับประทานกล้วยน้ำว้า วันละ 6 ลูกทุกวัน มาเป็นเวลา 5 ปี เขาเป็นโรคเบาหวานมา 3 ปี หลังจากแพทย์ให้หยุดกล้วยน้ำว้า 3 เดือนต่อมาอาการเบาหวานหายหมด ไม่มีอีกเลย ไม่ต้องรักษาโดยใช้ยาใดๆ ทั้งสิ้น
บางคนเข้าใจว่าน้ำตาลทรายแดงไม่เป็นอันตราย ความจริงน้ำตาลทรายแดงดีกว่าน้ำตาลทรายขาวที่มีวิตามิน B และไม่มีอันตรายจากสารฟอกขาว แต่อันตรายจากความหวานนั้นมีเท่ากัน คนไข้มะเร็งต่อมลูกหมากท่านหนึ่งได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับโรคของท่าน เนื่องจากท่านสามารถทำให้มะเร็งหายไปได้ภายใน 2 เดือน โดยไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันเลย ท่านสรุปในตอนหนึ่งว่า “เกิดมาอายุจะ 60 แล้ว เพิ่งรู้ว่าน้ำตาลเป็นอาหารของมะเร็ง น้ำตาลทุกประเภทเป็นอาหารของเชื้อโรค น้ำตาลทุกชนิดทำให้คนป่วย” ท่านเป็นคนชอบทานผลไม้หวานเป็นที่สุด เช่น ทานมะม่วงทีละ 2 ลูก หรือทุเรียนทีละครึ่งลูก ทุกอย่างที่หวานเป็นอันตรายต่อทุกคนที่กิน คนที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอจะมีโอกาสเป็นอันตรายจากหวานลดลง แต่ปริมาณน้ำตาลที่พอดี ร่างกายไม่เกิดอันตรายคือวันละ 10 ช้อนสูงสุด ในแต่ละวันนี้เราทุกคนได้เกิน เพราะเราได้จากหลายอย่าง เช่น ในโอวัลติน 1 แก้ว มีน้ำตาล 2 ช้อน น้ำอัดลม 1 ขวดเล็กมีน้ำตาล 6 ช้อน น้ำส้มคั้นไม่ใส่น้ำตาลมี น้ำตาล 4 ช้อน โอเลี้ยงหรือกาแฟมีน้ำตาล 2 ช้อน เป็นต้น จากเฉพาะเครื่องดื่มในแต่ละวันเราก็ได้รับน้ำตาลเกินแล้ว จากความจริงที่ว่าร่างกายใช้กลูโคสเป็นพลังงาน
เพราะฉะนั้นทุกคนจึงเชื่อว่าน้ำหวาน น้ำผลไม้หวาน หรือน้ำอัดลม ดื่มแล้วจะสดชื่น และมีพลังงาน แต่น้ำตาลจะมีประโยชน์นั้นจะต้องได้รับในปริมาณที่เหมาะสม ถ้าคนได้น้ำตาลมากเกิน น้ำตาลที่มีประโยชน์จะก่อให้เกิดโทษทันที น้ำผลไม้จะมีประโยชน์หากร่างกายได้รับวันละ 1/3 แก้ว หากมากกว่านี้จะเกิดโทษได้ กลูโคสที่ดีคือกลูโคสที่เป็น complex carbohydrate หรือคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว เผือก มัน ข้าวโพด กลูโคสแบบนี้จะค่อยๆ ถูกย่อย ร่างกายจะ ค่อยๆดูดซึม เป็นระยะเวลานาน ร่างกายจะเอาไปใช้ทัน แต่ถ้าเราได้จากน้ำตาลซึ่งมันไม่ต้องย่อยเลย พอตกไปถึงท้องก็ถูกดูดซึมทั้งหมด กลูโคสท่วมเซลร่างกายแล้วก่อให้เกิดอันตรายทันที แต่อาการจะไม่แสดงออกทันที ร่างกายคนเราสามารถทนได้ถึง 5-10 ปี กว่าจะเกิดโรค
ผลไม้หวาน: ทุเรียนไม่รวมเปลือกและเม็ดมีน้ำตาล 60% สัปปะรดไม่รวมแกนและเปลือก ลำไย ส้ม องุ่น มะละกอ กล้วยมีน้ำตาลเท่ากับทุเรียน สำหรับสัปปะรด ส่วนที่ดีที่สุดของสัปปะรดคือแกน เพราะแกนมีสารบรอมมีเลน ซึ่งเป็นสารต้านมะเร็ง ต้านการอักเสบ และทำลายเชื้อโรคโดยตรง คนไทยที่เป็นเบาหวานมักเกิดจากผลไม้หวาน เพราะหลายคนมีความรู้แล้วพยายามหลีกเลี่ยงขนมหวาน แต่ไม่ทราบถึงอันตรายของผลไม้หวาน ผลไม้ที่มีน้ำตาลน้อยมากคือ แอปเปิ้ลเขียว หรือมะนาวซึ่งไม่มีน้ำตาลเลย
สัญญาณเตือนภัยเมื่อร่างกายได้รับอันตรายจากหวาน: น้ำหนักลดยาก, เอวใหญ่กว่าสะโพก (ไม่ค่อยพบในคนไทย), อยากกินหวาน ถ้าไม่ได้กินหวานจะหงุดหงิด, ตัวบวม, มีผมหรือขนในที่ที่ไม่ควรมี, ผมร่วง, เป็นสิวในผู้ที่มีอายุเกิน 30 ปี, ซีสต์ที่รังไข่, ความดันสูง, นิ่ว, ไต, เบาหวาน, เส้นเลือดหัวใจตีบ, ไขมันไตรกลีเซอไรด์, ตับแข็ง, ไขมันแทรกในตับ, ยูริค, เป็นตะคริว, เป็นเชื้อรา หรือโรคผิวหนังอื่น ๆ บ่อยๆ เช่น กลาก เริม เป็นต้น ใครก็ตามที่ชอบกินหวานผิวหนังของคนๆ นั้นจะเป็นกรด พร้อมให้ราขึ้น
สำหรับโรคไตนั้น เกิดจากการตกตะกอนของหินปูน แคลเซียมออกซาเลต ซึ่งสัมพันธ์กับการกินหวานโดยตรงเนื่องจากการตกตะกอนของเกลือออกซาเลตในไตจะต้องใช้น้ำตาลเป็นตัวตกตะกอน เพราะฉะนั้นโรคไตจึงเกิดจากการกินหวานและการกินพืชที่มีสารออกซาเลต สูง เช่น ใบชะพลู กระถิน ชะอม ถั่วพู สะตอ ลูกเนียง เป็นต้น คนส่วนใหญ่คิดว่าไตจะสัมพันธ์กับเค็ม ความจริงถ้า กินเค็มแล้วกินน้ำมากพอก็จะไม่ก่อให้เกิดโรคไต แต่เค็มเป็นสาเหตุของมะเร็งและโรคกระดูกผุ
น้ำปลาที่ไม่ใส่พริกขี้หนู หอมแดง บีบมะนาว จะก่อให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ทางเดินอาหาร และกระดูกผุ แต่ถ้าใส่พริกขี้หนู หอมแดง บีบมะนาวอันตรายนั้นก็จะหมดไปทันที การวิจัยพบว่าวิตามินซีจากผลไม้เปรี้ยว โดยเฉพาะมะนาวและสารโคซีทินที่มีอยู่ในหอมแดงสามารถฆ่าเซลมะเร็งได้จากหน้ามือเป็นหลังมือ ส่วนเค็มจากเกลือก็จะก่อให้เกิดมะเร็งเช่นกัน แต่อันตรายน้อยกว่าน้ำปลาเปล่าๆ สาเหตุที่เค็มทำให้กระดูกผุเพราะโซเดียมที่เกินเวลาขับทิ้งที่ไต ถ้าปริมาณน้ำพอดี ร่างกายจะขับออกไปได้โดยไม่ทำลายไต แต่จะดึงเอาแคลเซียมในร่างกายออกไปด้วย นอกจากนี้น้ำตาลที่เรากินเข้าไป เมื่ออยู่ในร่างกายจะทำให้เลือดเหนียว เหมือนน้ำเชื่อม ทำให้ไหลได้ช้าลง จึงนำสารอาหารไปสู่เนื้อเยื่อได้ช้าลง ความสามารถในการซ่อมแซมเนื้อเยื้อก็จะตกลง มีผลทำให้เส้นเลือดฝอยตีบจากความเหนียวของมัน ฉะนั้นก็จะทำให้เกิดความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ได้เร็วยิ่งขึ้น
เนยเทียม
เป็นสิ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น โดยยิงไฮโดรเจนเข้าไปที่น้ำมันดอกทานตะวัน ทำให้โมเลกุลบิด แข็งตัวเป็นเนยขึ้นมา เมื่อเข้าไปในร่างกายจึงเป็นสิ่งแปลกปลอม และเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก โปรตีนที่ดี
โครงสร้าง ร่างกายคน ประกอบด้วยน้ำ 60 % โปรตีน 30 % และอื่นๆ 10% ถ้าเราดื่มน้ำเพียงพอ ( 2-3 ลิตร) ทุกวันและกินโปรตีนให้ถูกเท่ากับเรากินตามโครงสร้าง 90% ของร่างกาย คาร์โบไฮเดรตทุกชนิดเป็นหน่วยพลังงานไม่ใช่หน่วยโครงสร้าง โปรตีนมีความจำเป็นต่อร่างกายมากเพราะ 100% ของสารที่สมองใช้สื่อสาร สร้างจากโปรตีน หรือกรดอะมิโน 100% ของฮอร์โมนทั่วร่างกายสร้างจากกรดอะมิโน 100% ของเอ็นไซม์ที่ควบคุมการทำงานของร่างกายมนุษย์ ก็สร้างจากกรดอะมิโน หน่วย RNA DNA ใช้กรดอะมิโนในการถ่ายทอดพันธุ์กรรมที่ถูกต้อง ฉะนั้นร่างกายควรจะได้รับโปรตีนที่ดี สำหรับคนปกติแพทย์แนะนำให้ทานโปรตีนจากถั่ว เช่น ถั่ว ดำ เขียว แดง เหลือง ต้มวันละหนึ่งถ้วยครึ่ง สลับกันไป
โปรตีนที่ดีคือ โปรตีนจากพืชตระกูลถั่วและข้าว ไม่ใช่โปรตีนจากสัตว์ โปรตีนสัตว์มีความสัมพันธ์กับการอักเสบในร่างกายมนุษย์ เช่นโรคอัลไซเมอร์ ก็เกิดจากการบริโภคโปรตีนสัตว์มากเกิน ทำให้สมองเกิดการอักเสบเรื้อรัง สุดท้ายก็เป็นพังผืด ร่างกายจะต้องได้รับโปรตีนที่ดี เพราะโปรตีนถูกใช้ในทุกๆ วินาทีทีไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง 35 ล้านอัน ทุก 4 วัน ที่เยื่อบุในระบบทางเดินอาหารและเกล็ดเลือดถูกสร้างใหม่หมด ทุก 10 วัน ที่เม็ดเลือดขาวทุกตัวสร้างใหม่หมด ทุก 24 วัน ที่ผิวหนังทั่วตัวสร้างใหม่หมด เม็ดเลือดแดงจะมีออกซิเจนที่ดีต้องมีโปรตีนดี ภูมิต้านทานจะดีก็ต้องอาศัยโปรตีนเป็นตัวสร้าง เลือดไหลแล้วจะหยุดง่ายต้องมีโปรตีนที่ดี ปัญหาผิวหนังทั้งหมดที่เกิดขึ้น เกิดจากอาหารสองชนิดคือ หวานกับโปรตีนสัตว์ คนที่เป็นโรคกระเพาะควรจะหายภายใน 4 วัน ถ้าได้รับโปรตีนที่ดี เพราะเยื่อบุในระบบทางเดินอาหารถูกสร้างใหม่หมดทุก 4 วัน
คนที่เป็นโรคกระเพาะเรื้อรังหลาย ๆ ปีนั้นเกิดจากเหตุ 2 ประการคือ หนึ่งคือการกินหวานมากเกิน น้ำตาลจะเป็นอาหารของแบคทีเรียในกระเพาะ จึงทำให้แบคทีเรียแข็งแรง แผลจึงอักเสบตลอดเวลาและหายยาก ประการที่สองการได้รับโปรตีนจากสัตว์มากเกินเช่นถ้าเรากินเนื้อ นม ไข่เยอะ จะไปกระตุ้นให้สร้างน้ำย่อยโปรตีนเยอะ น้ำย่อยชนิดนี้จะย่อยเนื้อกระเพาะของเราเอง
โปรตีนพืชได้ถูกใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์อย่างมาก เช่นใช้รักษาโรคความดันสูง ใช้กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนให้สม่ำเสมอและเป็นปกติ ใช้สร้างกล้ามเนื้อเสริมสร้างความอดทน ใช้ควบคุมอาหาร ควบคุมเบาหวาน ควบคุมความดันโลหิต ลดอาการปวด ลดอาการติดยา ควบคุมโรคพาร์กินสัน ลดอาการเฉื่อยชา ลดอาการนอนไม่หลับ ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี ป้องกันถุงน้ำดีอักเสบ ลดความก้าวร้าว ลดอาการกระดูกผุ ช่วยล้างพิษและกระตุ้นภูมิต้านทาน ตัวอย่างคนไข้ท่านหนึ่งเป็นเบาหวานมา 5 ปี น้ำตาล 270 คลอเลสเตอรอล 300 ไตกลีเซอไลด์ 450 หลังจากที่คนไข้ท่านนี้ลดอาหารหวาน ไม่กินโปรตีนสัตว์ และกินโปรตีนพืชสม่ำเสมอ หลังจากนั้น 1 เดือน น้ำตาลเหลือ 185 คลอเลสเตอรอล 200 ไตกลีเซอไลด์ 270
ตัวอย่างที่สอง คนไข้ภูมิแพ้ หลังจากงดนมวัว ลดของหวาน กินโปรตีนพืช ดื่มน้ำมะนาววันละ 2 ลูก หอมแดง 2 หัว อาการภูมิแพ้ก็ไม่กลับมาอีกเลย จากงานวิจัยมีการพบว่า เจ้าของบริษัทผลิตน้ำผลไม้ มักจะเป็นเจ้าของบริษัทผลิตยาแก้โรคเบาหวาน และเจ้าของบริษัทที่ผลิตนม ก็เป็นเจ้าของบริษัทผลิตยาแก้โรคภูมิแพ้ จึงสันนิษฐานได้ว่าแม้แต่ผู้ผลิตก็รู้จักโทษของอาหารที่ตนผลิตเป็นอย่างดี
กินเพื่อสุขภาพที่ดี
มื้ออาหารที่ถูกต้องคือ เช้ากลางวัน ทานเต็มที่ มื้อเย็นทานน้อยๆ หรือไม่ต้องทาน เพราะหลังจากที่กินมื้อเช้าและกลางวันแล้ว ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานเต็มที่เกิดของเสียเต็มที่ จากนั้นควรทิ้งช่วงให้ร่างกายได้ขับของเสียเหล่านั้นทิ้งโดยไม่ต้องมีภาระในการย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารมื้อเย็นอีก เป็นการเปิดเวลาให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ ฉะนั้นมื้อเย็นถ้าจะทานควรจะเบาที่สุด เช่นผักสด หรือ เผือก หรือมัน ข้าวโอ๊ต ในปริมาณที่ไม่มากนัก คนที่มักหิวจนทนไม่ไหวตอนกลางคืน เกิดจากการกินหวาน หรือรับน้ำตาลมากเกินไปในตอนกลางวัน ถ้าไม่ได้รับน้ำตาลมาก จะไม่เกิดอาการนี้ เพื่อสุขภาพที่ดี แพทย์โภชนบำบัดแนะนำให้ นำกระเทียม หอมแดง ขิง ขมิ้นขาว ในปริมาณเท่าๆ กัน สับรวมกันแล้วนำมาคลุกข้าววันละ 2 ช้อนโต๊ะ บีบมะนาว ลงไปบนข้าว แล้วกินกับกับข้าวปกติ จะทำให้มีภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น และถ้าดื่มน้ำต้มใบรางจืดทุกวัน วันละ 2-3 แก้ว ก็จะเป็นการล้างพิษในร่างกาย
ฉะนั้นสรุปได้ว่าร่างกายเราจะแข็งแรง และหายป่วยได้ด้วยโภชนาการที่ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพายา เราจะป่วยยากมาก และจะตายก็ยาก ถ้าไม่ดื่มนมวัว ไม่กินหวาน ไม่กินเนื้อสัตว์เยอะ ไม่กินของทอด ไม่กินเนย และจะแข็งแรง และตายยากมากขึ้นถ้ากินโปรตีนพืชให้ถูกต้อง เพราะโปรตีนพืชเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมและความแข็งแรงของร่างกายเรา และทานผักเยอะๆ เพราะผักทุกชนิดจะเป็นอาหารให้แก่แบคทีเรียที่ดี ที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารเรา และพวกนี้ต้องการไฟเบอร์ของผักไปช่วยในการขับเคลื่อนทางเดินอาหาร เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมม ไม่ให้เกิดการเน่าในทางเดินอาหาร ฉะนั้นการกินผักก็จะช่วยให้เราแข็งแรงยิ่งขึ้นเพราะไม่มีของหมักหมมเน่าเสียอยู่ในร่างกายเรา
ว๊อย....จะจำได้หมด หรือเปล่าเนี๊ยะ ถ้า ทำได้ ... อายุคงจะปา ไป เกือบ 200 ปีม๊างงงงงงงง